วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ภาษาไทย ประถม สนุกกับภาษาไทย

แนวข้อสอบท้องถิ่น

สพป.ลำพูน เขต 1 รับสมัครครูอัตราจ้างขาดแคลนขั้นวิกฤต จำนวน 2 อัตรา


สพป.ลำพูน เขต 1 รับสมัครครูอัตราจ้างขาดแคลนขั้นวิกฤต จำนวน 2 อัตรา เรียบเรียงโดยครูวันดีดอทคอม ขอบคุณข้อมูลจาก สพป.ลำพูน เขต 1 ประกาศสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 1  เรื่อง รับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเป็นครูอัตราจ้างรายเดือนแก้ปัญหาสถานศึกษาขาดแคลนครูขั้นวิกฤต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 1 กลุ่มวิชาภาษาไทย จำนวน 2 อัตรา ค่าตอบแทน 15,000 บาท ต่อเดือน คุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง (1) มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรือทางอื่นที่ ก.ค.ศ. รับรองและกำหนดเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งครูผู้ช่วย กลุ่มวิชา/ทาง/สาขาวิชาเอก ตรงตามที่ประกาศรับสมัคร (2) มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หรือหลักฐานที่ใช้แสดงในการประกอบวิชาชีพ ครูตามที่คุรุสภาออกให้เพื่อปฏิบัติหน้าที่สอน ที่ยังไม่หมดอายุนับถึงวันเปิดรับสมัครวันสุดท้าย การรับสมัคร ผู้ประสงค์จะสมัคร ให้ขอและยื่นใบสมัครด้วยตนเองระหว่างวันที่ วันที่ 31 สิงหาคม - 8 กันยายน 2560 เวลา 08.30-13.30น. (เว้นวันหยุดราชการ) ณ กลุ่มบริหารงานบุคคล สพป.ลำพูน เขต 1

อ่านต่อได้ที่: http://www.kruwandee.com/news-id35807.html ไฟล์แนบ

ย้อนรอยเส้นทางการเมือง "นายกฯหญิง" คนแรกของประเทศ

ยิ่งลักษณ์หายไปไหน? คือคำถามที่กล้องอยู่ในใจของคนไทยทั้งประเทศ หลังจากที่อดีตนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทยไม่ได้เดินทางไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง เพื่อฟังคำพิพากษาคดีการทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี

โดยให้เหตุผลว่ามีอาการป่วยน้ำในหูไม่เท่ากัน มีอาการวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ จึงขอเลื่อนการฟังคำพิพากษาโดยไม่มีใบรับรองแพทย์ แต่ศาลไม่เชื่อว่าป่วยถึงขนาดจะมาไม่ได้ จึงออกหมายจับพร้อมริบเงินประกัน 30 ล้าน

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดกระแสข่าวตามมาโดยแสดงความคิดเห็นไปในทำนองเดียวกันว่าอดีตนายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย อาจหลบหนีออกนอกประเทศไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วที่สำคัญจุดหมายปลายทางอาจจะอยู่ที่ดูไบตามรอยพี่ชายก็เป็นได้

หากสิ่งที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริงปฐมบทชีวิตในต่างแดนของอดีตนายกฯหญิงยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงต้องเริ่มต้นใหม่ ตามไปย้อนดูจุดเริ่มต้นเส้นทางการเมืองนายกหญิงคนแรกของประเทศไทยก่อนที่ชีวิตพลิกผันไปตลอดกาล

หลังจากวิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2549 พรรคไทยรักไทย ซึ่งมีหัวหน้าพรรคคือ อดีต พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลตัดสินให้ยุบพรรคเมื่อปี 2550 จากคดีจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครเลือกตั้งและลี้ภัยการเมืองไปยังต่างประเทศ

จากนั้นก็มีการตั้งพรรคพลังประชาชนขึ้นมาใหม่โดยที่มี นายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรคและถูกตัดสินให้ยุบพรรคเมื่อปี 2551 ในคดีทุจริตการเลือกตั้ง ทำให้ ส.ส.ส่วนใหญ่ย้ายสังกัดไปประจำพรรคเพื่อไทย ต่อมาเมื่อปลายปี 2553 นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง


โดยคาดการณ์ว่าเพื่อเปิดทางให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นหัวพรรคแทนเพื่อเตรียมพร้อมในการเลือกตั้งปี 2554 แต่ก็เธอกลับตอบปฏิเสธไปโดยให้เหตุผลว่าต้องการมุ่งความสนใจไปยังการทำธุรกิจ

แต่แล้วเส้นทางการเมืองก็หนีไปไม่พ้นอยู่ดี เนื่องจากวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ที่ประชุมพรรคเพื่อไทยมีมติเลือกน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อในลำดับที่ 1 เพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 3 กรกฎาคม โดยที่เธอไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค

และที่สำคัญกระแสข่าวนี้ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าพี่ชายของเธอคือ อดีต พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร อาจเป็นผู้ตัดสินใจขอร้องให้น้องสาวเป็นผู้สมัครท้าชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ซึ่งในขณะนั้นชื่อของเธอปรากฏตามสื่อๆต่างมากมายและได้รับความสนใจจากสื่อหลายแขนงเพราะหากเธอทำสำเร็จจะกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงแห่งประเทศไทย

ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จับสลากได้เบอร์ 1 และชูนโยบายหาเสียงที่เอาใจประชาชนอย่างมาก ทั้งค่าแรงขั้นต่ำ300บาท เงินเดือน15,000บาท รถยนต์คันแรก และนโยบายหวังยกระดับชีวิตเกษตรกรอย่าง "โครงการรับจำนำข้าว"


ทำให้วันที่ 3 กรกฎาคม  2554 ประชาชนเทคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทยอย่างท่วมท้นได้ ส.ส.จำนวน 265 ที่นั่งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยมีการเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย

แต่ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกฯปูก็ถูกทดสอบด้วยภัยธรรมชาติเมื่อฤดูฝนปีนั้นเกิดอุทกภัยอย่างหนักประเทศไทยมีระดับปริมาณน้ำฝนสูงที่สุดในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดน้ำท่วมตั้งแต่ภาคเหนือลงมาสู่ภาคกลาง และเกิดการวิตกกังวลว่าน้ำอาจจะเข้าท่วมกรุงเทพฯทั้งหมด แต่นายกฯหญิงคนแรกพร้อมแก้ปัญหาและยืนยันว่า “เอาอยู่”

แต่บททดสอบก็ยังดำเนินต่อไปเมื่อต้องเจอสารพัดม็อบที่รุมเข้ามากดดันทั้งม็อบแช่แข็งประเทศไทยของพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ม็อบหน้ากากขาว ม็อบสวนยางที่ปิดถนนภาคใต้ ม็อบต่อต้านเขื่อนแม่วงก์

และฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการกู้เงินสองล้านล้านบาทเพื่อพัฒนาระบบคมนาคมทั้งทางเรือ ทางบก ทางอากาศ และระบบรางรถไฟความเร็วสูงให้กับประเทศไทยและยังถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่ายังไม่เหมาะสมกับประเทศไทย


แต่เรื่องที่ทำให้เส้นทางการเมืองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหญิงต้องสั่นคลอนและกลายเป็นแรงต่อต้านที่มีมากขึ้นในขณะนั้น คงหนีไม่พ้น พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเอื้อประโยชน์ให้กับ อดีต พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร

ทำให้เกิดการ “คัดค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม” เป็นวงกว้างทั้งประชาชนทั่วไปและฝ่ายเสื้อแดงบางกลุ่มที่มองว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้กระสุนจริงกับคนเสื้อแดงจะถูกอภัยโทษไปด้วย ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของม็อบฝ่ายต่อต้านภายใต้แกนนำ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์

ซึ่งใช้ชื่อม็อบ กกปส. และดูเหมือนวิกฤตการณ์ทางการเมืองจะเริ่มดุเดือดขึ้น เมื่อแกนนำ นปช.มีการชุมนุมคนเสื้อแดงกทม.เพื่อสนับสนุนรัฐบาลและต่อต้ายม็อบ กปปส. เนื่องจากมองว่าเป็นฝ่ายล้มล้างอำนาจประชาธิปไตย

จนเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ประกาศทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาขอยุบสภาผู้แทนราษฎร


จากนั้นเมื่อ วันที่ 7 พฤษภาคม 2557 ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ถอดถอนนายกรัฐมนตรีจากตำแหน่ง จากกรณีมีส่วนใช้อำนาจแทรกแซงการโยกย้ายถวิล เปลี่ยนศรีจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ยุติเส้นทางการเมืองนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย 2 ปี 275 วัน

แต่วิบากกรรมจากการเมืองยังไม่หยุดเพียงเท่านี้เมื่อ ป.ป.ช. ได้สอบสวนเอาผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตเป็นจำนวนมาก โดยส่งฟ้องศาลในข้อหาปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว

จนทำให้ให้เธอถูกห้ามเล่นการเมืองห้าปีและยังถูกแจ้งข้อกล่าวหาทางอาญาต่อโครงการ ซึ่งอาจส่งผลให้ได้รับโทษจำคุกอีกด้วยหากพบว่ามีความผิด

และในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฯ นัดอ่านคำพิพากษา แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับไม่มาศาลฯ จึงมีการออกหมายจับและริบเงินประกัน 30 ล้านบาท พร้อมทิ้งปริศนาว่าเธอหายไปไหน ปิดตำนานนายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย

นี่คือ 5 เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยอธิบายว่า ทำไมคุณถึง ‘หิว’ อยู่ตลอดเวลา…

ในขณะที่หลายๆ คนกำลังบ่นว่าตัวเองน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่ยอมลด เชื่อไหมว่ายังมีอีกกลุ่มคนหนึ่งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำม๊ายยทำไมถึงรู้สึก ‘หิว’ อยู่ตลอดเวลา

วันนี้เราจะพาไปค้นหาคำตอบพร้อมๆ กัน กับ 5 เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่อ้างอิงข้อมูลมาจากวารสารคลีนิคด้านโภชณาการ (EJCN) ที่ถูกตีพิมพ์ในยุโรปเมื่อไม่นานมานี้…


1. พักผ่อนไม่เพียงพอ

เป็นข้อเท็จจริงที่ทุกคนควรรู้ไว้ว่า พฤติกรรมการนอนหลับส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมทั้งหมดของเรา และมันก็มีความเชื่อมโยงกันอยู่ระหว่างการกินที่มากเกินไป กับการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ

หลายคนอาจคิดว่าเมื่อไหร่ที่รู้สึกเหนื่อยล้า เราต้องกินให้มากเพื่อพลังงานในรอบถัดๆ ไป แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นกลับไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าหากคุณยังไม่เริ่มต้นพักผ่อนให้เพียงพอ



2. รับประทานคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี

ไม่ได้งั้นงี้นะแต่เชื่อเถอะว่าถ้าคุณเป็นอีกคนที่ชอบทานฟาสต์ฟู๊ด หรือชอบทานอาหารหนักเช่น พิซซ่า พาสต้า หรือแม้แต่ขนมปังที่ไม่ใช่โฮลเกรน ขอบอกเลยว่าคุณอาจจะเสพติดสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่รู้ตัว

เพราะในความเป็นจริงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสีมักจะย่อยสลายได้ไวกว่า และทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเราสูงกว่า ซึ่่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำไมบางทีคุณถึงรู้สึกโหยหาอาหารเหล่านี้ซะเหลือเกิน



3. ดื่มน้ำไม่มากพอ

เราอาจจะได้ยินคำแนะนำที่ว่า ‘ให้ดื่มน้ำเยอะๆ ร่างกายจะได้แข็งแรง’ กันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่เชื่อเถอะว่านี่แหละคือปัจจัยแรกสุดที่จะทำให้สุขภาพคุณแข็งแรง

จากงานวิจัยของ NCBI พบว่ากว่า 60% ของมนุษย์โลกไม่สามารถแยกแยะความรู้สึกที่แท้จริงระหว่างหิวข้าวและกระหายน้ำออกจากกันได้ ดังนั้นถ้าครั้งหน้าคุณรู้สึกหิวทั้งๆ ที่เพิ่งทานอาหารไป พึงรู้ไว้ว่าการดื่มน้ำก็ช่วยได้เหมือนกันนะ






4. ได้รับไขมันดีไม่เพียงพอ

ต้องเข้าใจก่อนว่าไขมันแบบดีก็มีเหมือนกัน และไขมันดีก็มีประโยชน์ต่อร่างกายเรามากเช่นกัน ซึ่งสำคัญพอๆ กับโปรตีนและน้ำตาลเลยก็ว่าได้

ยิ่งไปกว่านั้นในอาหารที่เคลมว่าไขมันต่ำ มักจะถูกทดแทนด้วยน้ำตาลและนั่นก็ยิ่งทำให้คุณรู้สึกโหยหาความหวานมากยิ่งขึ้นไปอีก

ทางที่ดีคือควรหันมารับประทานไขมันจากพวกเนื้อปลา ผลอะโวคาโด้ หรือไข่ จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าไขมันจากของทอดแน่นอน


5.ความเครียดอาจพรากบางอย่างไปจากคุณอยู่

ทุกคนย่อมมีเรื่องให้เครียดกันทั้งนั้นแหละ แต่เคยมีการทำผลสำรวจมาแล้วว่าคนที่จัดการกับความเครียดได้แย่กว่า มีแนวโน้มที่จะหันไประบายความเครียดด้วยการกินมากกว่า

เพราะอันที่จริงแล้วผู้เชี่ยวชาญแนะว่า การแก้เครียดด้วยการกินอาจไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณหันไปออกกำลังกายเพื่อกำจัดความเครียดแทนละก็ อย่างน้อยคุณก็จะกลายเป็นคนหุ่นดีที่มีอารมณ์ดี


ทั้งหมดนี้ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเราถึงรู้สึกหิวอยู่บ่อยๆ ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องดีต่อสุขภาพเลยนะเนี่ย



ที่มา: Didyouknowfacts

วางร่มกันฝนยังไงกันดี?

ช่วงนี้ฤดูฝนครับ หลายคนมีปัญหาในการวางร่ม ไม่ได้หมายถึงวางให้แห้งหรือไม่เกะกะอะไรนะครับ ผมจะบอกยุทธวิธีในการวางร่มไม่ให้ลืมเวลาไปไหนกันเป็นกลุ่ม

นึกถึงเหตุการณ์ว่าเรานัดเพื่อน 7 คนไปกินข้าว ต่างคนต่างวางร่มไว้คนละที่ พอกินข้าวเสร็จฝนก็ไม่ตกแล้ว แต่ละคนก็เลยอาจลืมร่มของตัวเอง และแต่ละคนก็มัวแต่สนใจข้าวของของตัวเอง เลยไม่มีใครบอกคนอื่นให้หยิบร่มของตัวเอง สุดท้ายก็มักจะมีคนลืมร่ม

เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยการใช้ความน่าจะเป็นจะครับ กล่าวคือเราจะใช้วิธีให้ทุกคนวางร่มกองรวมกัน แล้วเมื่อคนหนึ่งหยิบร่มก็จะรู้ว่ายังมีร่มของคนอื่นที่ยังไม่มาหยิบไป ก็จะทำให้เตือนกันได้ ก็เช่นเคย มีคนเถียงว่าถ้าลืมกันหมดก็ซวยอยู่ดี การตอบคำถามแบบนี้เราจะต้องคำนวณให้ดูกันจะๆ

สมมุติโอกาสที่แต่ละคนจะลืมร่มของตัวเองเป็น 1/20 = 0.05 เราจะมาคำนวณค่าความเสียหายเฉลี่ยกันว่าจะมีร่มถูกลืมประมาณกี่อัน ก็ขอเริ่มจากโอกาสที่จะมีร่ม n อันถูกลืม ซึ่งได้จาก C(7,n) 0.05^n (1-0.05)^(7-n) เช่นโอกาสที่ร่มจะถูกลืม 3 คนก็เป็น 7x6x5/3! 0.05^3 0.95^4 = 0.00356 เมื่อเข้าสูตรค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักก็จะได้ว่าจำนวนร่มที่จะถูกลืมมีค่าประมาณ



ซึ่งมีค่า 0.35 ก็เลยไม่แปลกนักที่มักจะมีคนลืมร่มกันบ้าง ขอเน้นว่าเป็นการคำนวณภายใต้สมมุติฐานว่าต่างคนต่างสนใจเฉพาะสมบัติของตัวเอง

ทีนี้ก็มาดูวิธีวางกองรวมกัน เหตุการณ์ก็เลยมีสองอย่าง คือเอาร่มกลับกันครบหรือไม่ก็เสียสติพร้อมกัน ค่าเฉลี่ยจำนวนร่มที่จะถูกลืมจึงเป็น 7 0.05^7 + 0 (1-0.05^7) ซึ่งมีค่าเพียง 0.00000000547 น้อยกว่าโอกาสถูกรางวัลที่หนึ่งบานเลย ถ้ารู้ว่าชาตินี้คงไม่ถูกรางวัลที่หนึ่งก็คงรู้ว่าชาตินี้คงจะไม่ลืมร่มกันเลยหากใช้วิธีนี้

เอาหละ มีเรื่องท้าทาย เมื่อกี๊เราสมมุติว่าแต่ละคนมีโอกาสลืมร่มของตัวเองเป็น 0.05 ซึ่งจริงๆแล้วไม่เท่ากัน การคำนวณให้สมจริงจึงจะยุ่งหน่อยหากอยากรู้ เป็นแบบฝึกหัดที่สนุกดี เพราะตอบคำถามโลกจริงได้ดี ซึ่งส่วนใหญ่เราไม่ค่อยมีโอกาสสัมผัสกันนัก

ก็หวังว่าผู้อ่านจะเห็นประโยชน์จากการออกแบบวิธีทำอะไรให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น การโอน้อยออกแบบใหม่ที่ได้กล่าวไว้ในบทความ “การโอน้อยออกหลักสูตรใหม่” http://www.vcharkarn.com/varticle/506014 และตอนต่อ “ต้องโอน้อยออกกี่ครั้งกันแน่?” http://www.vcharkarn.com/varticle/506065

ทีนี้เราจะมาดูอีกตัวอย่างน่ารักๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ไม่กล้าขึ้นเครื่องบินเพราะกลัวระเบิดจะเล็ดรอดติดมา ซึ่งเขาเห็นว่าไม่มีทางรอดแน่หากเครื่องบินโดนระเบิดกลางอากาศ ไม่เหมือนรถที่ยางแตกก็ยังอาจชะลอประคองรอดได้

หลังจากเพื่อนๆ ญาติๆ และคนรู้จักไม่สามารถช่วยได้ เขาเริ่มจากไปปรึกษาจิตแพทย์ แต่ไม่เป็นผล แถมจิตแพทย์ยังอึ้งเมื่อเขาได้ให้ข้อมูลที่ค้นคว้ามาว่าเครื่องตรวจระเบิดมีโอกาสพลาดถึง 1 ในแสน ทีนี้ก็มาถึงนักคณิตศาสตร์ด้านความน่าจะเป็นแสดงฝีมือ โดยบอกว่าโอกาสแค่ 0.00001 มันเล็กน้อยเหลือเกิน ซึ่งทำให้ค่าคาดหวังมีค่าต่ำมาก คือ (ความเสียหายจากตาย)0.00001 + (ไม่เสียหาย)0.99999 = 0.00001(ความเสียหายจากตาย) แต่เขาก็เถียงไปว่าการตายมีความเสียหายมหาศาลในความรู้สึกของเขา ค่าเฉลี่ยนี้เลยมีค่าสูงมากมายไปด้วย นักความน่าจะเป็นเลยจ๋อยไป เรื่องก็ไปถึงหูของนักสถิติซึ่งใช้ความน่าจะเป็นได้อย่างแพรวพราว นักสถิติถามว่า “หากโอกาสที่จะมีระเบิดแค่ 0.00000001 คุณจะรับได้ไหม” ปรากฎว่าชายคนนี้บอกว่าได้เลยหลังจากคำนวณในใจสักพัก นักสถิติก็เลยบอกว่า “ต่อไปนี้คุณขึ้นเครื่องบินได้เลย โดยคุณต้องพกระเบิดไปด้วยหนึ่งลูก” ชายคนนี้ตกใจ นักสถิติเลยพูดต่อ “คุณก็ถอดสลักออกซิ่ ไม่อันตรายหรอก แล้วโอกาสที่จะได้ขึ้นเครื่องโดยมีระเบิดอันตรายเล็ดรอดขึ้นเครื่องอีกก็จะกลายเป็น 0.00001^2 น้อยกว่าที่คุณรับได้ตั้งเยอะ แค่หนึ่งในร้อยเอง”